ข้าวหลามบ้านท่าศิลา
ถ้าเอ่ยชื่อหนองมนขึ้นมา น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก หรือผ่านทางนั้น ก็คงคุ้นเคยดีกับร้านค้าที่เรียงรายข้างถนนที่มีมากมายสารพัดอย่าง โดยเฉพาะ "ข้าวหลามหนองบ้านท่าศิลา อ.ท่าตูม จังหวัดสุรินทร์" อันโดดเด่นซึ่งถือเป็นสินค้าของฝากติดมือขึ้นชื่อนักกินหลายๆ คนต่างยกให้ข้าวหลามบ้านท่าศิลา เป็นหนึ่งในข้าวหลามในดวงใจที่กินเมื่อไหร่ก็อร่อยเมื่อนั้น มาวันนี้ข้าวหลามท่าศิลาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช้านานก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งรูปรสกลิ่นที่ชวนกินอยู่ไม่เสื่อมคลาย
เปิดตำนานบ้านท่าศิลาอันคำว่าชื่อ "ท่าศิลา" นั้น หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าชื่อนี้ได้แต่ใดมา ซึ่งตามตำนานของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้บันทึกเอาไว้ว่า ท่าศิลาเดิมทีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของ จ. สุริทร์ วันหนึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งมาธุดงค์ และได้ปักกลดค้างแรมข้างหนองน้ำแห่ง หนึ่งในละแวกนั้น ซึ่งก็เป็นเวลาที่หมู่บ้านแห่งนี้ และหมู่บ้านใกล้เคียงเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นพอดี ส่งผลให้ชาวบ้านต่างบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าชาวบ้านจะพยายามให้หมอกลางบ้าน หรือหมอยาสมุนไพรก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยความวิตกกังวลชาวบ้าน จึงอาราธนาพระธุดงค์ให้มาช่วยเหลือ พระธุดงค์รูปนั้นจึงได้ทำพิธีปลุกเสกน้ำมนต์ให้ชาวบ้านที่มาขอน้ำมนต์นำไป ดื่มกิน และประพรมตัวให้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย
ปรากฏว่าโรคร้ายหายไปไม่มีใครล้มป่วยอีก ชาวบ้านที่หมู่บ้านใกล้เคียงได้ยินกิตติศัพท์ในการรักษาโรคร้าย ต่างก็พากันมาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อไปรักษาโรคร้ายในหมู่บ้านของตนบ้าง จนพระธุดงค์ไม่สามารถทำน้ำมนต์ให้เพียงพอกับความต้องการของชาวบ้านได้ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันขุดพื้นดินตรงที่พักของพระธุดงค์เป็นบ่อน้ำ ก่อนเชิญท่านมาทำพิธีปลุกเสก และหยดเทียนลงไปในบ่อน้ำนั้นชาวบ้านทั้งใน และนอกหมู่บ้านนำน้ำในบ่อไปดื่มกิน และรักษาโรคร้ายด้วยความศรัทธา
เมื่อพระธุดงค์เดินทางไปธุดงค์ที่อื่น ชาวบ้านต่างพากันอพยพมาอยู่ใกล้ๆ หนองน้ำกลายสภาพเป็นหมู่บ้านใหญ่ ส่วนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นนานๆ เข้าก็แผ่ขยายกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ชาวบ้านจึงพากันตั้งชื่อว่า “ท่าศิลา” และเรียกหมู่บ้านตามชื่อหนองน้ำนั้น ก่อนจะกลายเป็น “ท่าศิลา” ในกาลต่อมา เพราะไม่มีหนองน้ำมนต์ให้เห็นอีก เนื่องจากหนองน้ำมนต์ได้กลายเป็นท้องไร่ท้องนาไปแล้วนั่นเอง
เริ่มมาเป็นข้าวหลามท่าศิลา
กว่าที่ข้าวหลามท่าศิลาจะโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวนั้น แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านท่าศิลามีอาชีพทำนา เมื่อหมดหน้านาก็จะทำข้าวหลามเป็นของหวานกินกันตามอัตภาพ โดยจะนำข้าวเหนียวไปแลกกับน้ำตาลและมะพร้าวจากหมู่บ้านอื่น ส่วนไม้ไผ่ป่าก็หาตัดกันเองบนเขาบ่อยาง
ในแต่ละวันข้าวหลามท่าศิลาจะมีผู้แวะเวียนมาซื้อกลับไปเป็นจำนวนมาก เมื่อมีงานประจำปีที่ศาลเจ้าหลังท่าศิลา จึงเกิดมีการค้าขายขึ้น พ่อค้าแม่ค้าส่วนจะขายข้าวหลาม ควบไปกับการขายอ้อยควั่นและถั่วคั่ว โดยในยุคนั้นมีขายกันเพียงไม่กี่เจ้า จนเมื่อมีการตัดถนนผัทมานนท์ ทำให้มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาเที่ยวบางแสนมากขึ้น เกิดร้านค้ามากมายเรียงยาวตามเส้นทางสายปัทมานนท์ ต.ท่าศิลา จ.สุรินทร์ ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาต้องแวะลงไปซื้อข้าวหลามติดไม้ติดมือกลับบ้าน ซึ่งปัจจุบันข้าวหลามท่าศิลาผ่านยุคผ่านสมัยมาเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว
ข้าวหลามข้าวหลามหนองมนสูตรโบราณหากพูดร้านข้าวหลามหนองมนระดับเป็นตำนาน "ร้านแจ๋วแว๋ว" และ "ร้านแม่ประณีต" นับหนึ่งในร้านเก่าแก่ดั้งเดิมที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันทั่วบ้านท่าศิลาเนื่องจากในสมัยจอมพลสฤษฏ์ และนายพลเนวิน แห่งประเทศพม่าเคยเรียกแม่เผื่อ และแม่เหมือนไปเผาข้าวหลามให้กิน ข้าวหลาม จึงกลายเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ไปทั่วประเทศ
ปัจจุบันร้านแม่เผื่อมีปราณี ศรีป่าน ลูกสะใภ้เป็นผู้สืบทอดกิจการ และสูตรโบราณของแม่เผื่อที่เสียชีวิตไป 10 กว่าปีแล้ว ปราณีเล่าว่า ข้าวเหนียวที่ร้านแม่เผื่อใช้ทำข้าวหลามเป็นข้าวเหนียวพันธุ์เขี้ยวงู ส่วนข้าวหลามที่ร้านก็มีรสชาติ เค็มมัน หวานน้อย ซึ่งต่างจากร้านอื่นที่หวานมาก โดยทางร้านยังคงรักษาสูตรดั้งเดิมของแม่เผื่อไว้ทุกอย่างทุกขั้นตอน
สูตรโบราณ
เผาข้าวหลามแบบบ้านท่าศิลา
"ข้าวหลามที่ทางร้านทำขายมีเพียง 2 ไส้ คือ ไส้เผือก และ ไส้ถั่ว เพราะเป็นสูตรโบราณ ซึ่งหากเปลี่ยนไปทำไส้อื่นลูกค้าจะไม่นิยมเท่าไส้เดิมตามแบบฉบับของข้าวหลามท่าศิลา" ปราณีเล่า
ในส่วนของการเผาข้าวหลามนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นกัน ณัฐธิดาได้อธิบายถึงวิธีการทำข้าวหลามทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ว่า
"วิธีทำข้าวหลามนั้นเริ่มจากการแช่ข้าวเหนียว และถั่วดำไว้ก่อน เมื่อแช่ข้าวเหนียวได้ที่แล้วนำไปต้มให้สุก จากนั้นนำข้าวเหนียวสุกใส่กะทิที่ผสมเกลือกับน้ำตาลไว้แล้ว คลุกให้เข้ากัน นำไปใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการเผา ซึ่งการเผาข้าวหลามที่หนองมน มี 2 วิธี คือ การเผาข้าวหลามแบบฟืน และแบบเตาแก๊ส
กรรมวิธีการเผาข้าวหลามแบบโบราณที่ใช้ฟื้น กาบมะพร้าว และเศษไม้ไผ่
"การเผาข้าวหลามแบบฟืนเป็นการเผาข้าวหลาม แบบดั้งเดิม ที่ต้องวางเรียงข้าวหลามบนพื้นดินเป็นแถวยาว ใช้กาบมะพร้าว ฟืน และเศษไม้ไผ่ที่เหลือจากการทำกระบอกข้าวหลามมาสุม คนเผาต้องใช้แรงและพลังงานเยอะในการเผา ซึ่งกว่าจะได้ข้าวหลามมา ต้องใช้เวลาเผานานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งยังต้องล้างเก็บ ทำให้ยากลำบาก คนทำข้าวหลามในปัจจุบันจึงเปลี่ยนจากการเผาข้าวหลามแบบโบราณมาใช้เตาเผาแทน"
ณัฐธิดาอธิบาย ก่อนเล่าต่อว่า ในส่วนของร้านแม่เจริญได้คิดค้นให้ช่างสร้างเตาเผาข้าวหลามขึ้น โดนได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนใช้การได้มาประมาณ 20 ปีแล้ว ปัจจุบันคนเอาไปใช้ทั่วหนองมน เตาเผาที่ใช้เป็นตู้สี่เหลี่ยม ภายในเป็นช่องราง สำหรับใส่ข้าวหลามเรียงเป็นแถวตอนซึ่งต้องคอยปรับอุณหภูมิอยู่ตลอดเวลา
อนึ่งหลังจากที่ข้าวหลามหนองมนเริ่มมีชื่อเสียง ในการหาไม้ไผ่มาทำข้าวหลามชาวบ้านหนองมนจะเลือกใช้ไม้ไผ่ป่าจากเขาบ่อยาง มาทำข้าวหลาม แต่ปัจจุบันไม่มีไม้ไผ่เหลือให้ตัดใช้ จึงต้องสั่งซื้อไม้ไผ่มาจากที่อื่นแทน โดยไม้ไผ่ที่ใช้ทำข้าวหลามมี 3 ชนิด คือ ไผ่ข้าวหลาม ไผ่ป่า และไผ่สีสุก ซึ่งในปัจจุบันไม้ไผ่เมืองไทยเริ่มไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ซ้ำในปัจจุบันยังเกิดวิกฤตต้นไผ่ออกดอก หรือไผ่ตายขุยมากกว่าปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไผ่กอนั้นจะตายทั้งกอภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี ที่ถึงแม้ว่าจะเกิดหน่อใหม่ขึ้นมาก็มีคุณภาพไม่เท่าเดิม
สำหรับลมหายใจของข้าวหลามท่าศิลาในวันนี้ยังคงถือว่าดีอยู่ แต่ก็ไม่แน่ว่า วันหนึ่ง"ข้าวหลามท่าศิลา" อาจ ไม่ได้อยู่ในกระบอกไม้ไผ่อย่างทุกวันนี้ก็ได้ หากไม้ไผ่หมดไปจากป่า ข้าวหลามท่าศิลา หรือข้าวหลามจากที่อื่นๆ อาจจะถูกย้ายไปใส่ในภาชนะประเภทอื่น แทน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น